
ในปีนั้นมีนักเตะใหม่ที่เซ็นสัญญามาร่วมทีมอีก 4 คนได้แก่
และโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ผู้ยิง 4 ประตูให้กับทีมชาตินอร์เวย์จากการลงเล่น 5 นัด และ 31 ประตูให้กับ โมลด์ จากการลงเล่น 42 นัด ฟอร์มการเล่นนี้ก็ทำให้เขาได้รับความสนใจจากทีมแมวมองของแมนฯ ยูไนเต็ด แม้ว่าในขณะนั้นน้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี จากนักเตะใหม่ทั้ง 5 เขากลับเป็นคนเดียวที่ยังคงสวมเสื้อของแมนฯ ยูไนเต็ด
"ชื่อเสียงของคุณไม่ได้อยู่กับคุณไปตลอดอาชีพค้าแข้งหรอก" โซลชาร์ กล่าว "เพราะการตัดสินใจของคุณ ทัศนคติ และอายุของคุณอาจทำให้มันยังคงอยู่หรือทำให้มันแย่ลงก็ได้ ผมยังคงมีส่วนร่วมอยู่ในแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนั่นล่ะคือสิ่งผมภาคภูมิใจ"
และลองคิดถึงตลอดเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมาสิ เขายิงประตูได้ตั้งแต่นัดแรกที่ลงเล่นให้กับทีม เขายิงประตูชัยในนาทีสุดท้ายของเกมที่พบกับ ลิเวอร์พูล ในศึกเอฟเอ คัพ ปี 1999 และในฐานะนักเตะสำรอง เขายิงถึง 4 ประตูภายในเวลาเพียง 10 นาทีในนัดที่พบกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และที่สำคัญ ประตูในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ช่วยให้ทีมคว้า 3 แชมป์ในปีนั้น หลังจากนั้นเขาก็ทำให้หมายเลข 20 บนหลังเสื้อก็กลายเป็นตำนานของแมนฯ ยูไนเต็ด และทำให้ทุกคนต้องร้องเรียกชื่อ "โอเล่ โอเล่"
จากประตูยอดเยี่ยมมากมายที่เกิดขึ้น มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ทำให้โอเล่รู้สึกมีความสุขมากกว่าครั้งใดๆ และเขาต้องขนลุกทุกครั้งที่นึกถึง แต่มันไม่ใช่ประตูที่คุณคิดถึงแน่นอน
"ผมยังจำได้ดีถึงนัดแรกที่ผมลงเล่นให้กับทีม ตั้งแต่เริ่มวอร์ม อัพ และเริ่มนึกถึงว่านี่เป็นโอกาสของเราแล้ว เราต้องคว้ามันมาให้ได้ เพราะเราจะย้อนกลับไปอีกไม่ได้แล้ว และสิ่งที่ผมจำได้ดีอีกอย่างก็คือ เมื่อผมทำประตูได้ แล้วหันหลังกลับมาเจอ เอริค คันโตน่า วิ่งตรงเข้ามาหาผม มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดแล้ว ที่จริงแล้วชัยชนะใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็เป็นอะไรที่ผมไม่เคยลืม แต่นัดแรกของผมมันทำให้ผมสร้างเกมให้ตัวเองเดินต่อไปได้"
ประตูแรกของเขาในเดือนสิงหาคม 1996 ในนัดที่ทีมเสมอกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 2 2 ในโอลด์ แทรฟฟอร์ด เราก็ได้เห็นว่าเขาเข้าไปอยู่ในใจของแฟนแมนฯ ยูไนเต็ด อย่างรวดเร็ว และทำให้ได้รับสมญานามจากสื่อมวลชนว่า "เพชฌฆาตหน้าเด็ก (Baby Faced Assassin)" แม้กระนั้นก็ดี สำหรับแฟนๆ แล้ว อะไรก็เทียบไม่ได้กับการที่เขายิงประตูชัยให้ในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก และได้ 3 แชมป์ในปี 1999 ใช่มั๊ยล่ะ?

"ผมไม่ได้กลับไปดูเกมนั้นบ่อยหรอกนะ ผมได้เห็นช่วงเวลานั้นบ้างทางทีวี ก่อนจะเริ่มการแข่งขัน แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะนั่งและชื่นชมกับผลงานของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ที่จริงแล้วผมไม่เคยดูเกมนั้นทั้งเกมเลยด้วยซ้ำ ผมเคยดูแค่ช่วง 15 นาทีที่ผมเล่นแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ"
"พ่อผมได้ดูหลายครั้งแล้ว ที่ผมได้ดูก็เพราะนั่งดูกับเขาหลังจากกลับมาจากบาร์เซโลน่า นั่นแหละ เขาไม่ได้เข้าไปดูในสนามเพราะทั้งพ่อและแม่ต้องทำงานเช้าวันรุ่งขึ้น ทำให้เดินทางไปบาร์เซโลน่า ไม่ได้ มันเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะผมก็อยากให้พวกเขาอยู่ที่นั่นกับผม แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะภรรยาและเพื่อนๆ ของผมก็อยู่ที่นั่น มันดีจริงๆ ที่ได้หวนนึกถึงเวลานั้นกับพ่อผม บางทีผมอาจจะดูมันบ่อยขึ้นในตอนที่ผมแขวนสตั๊ดก็ได้นะ"
"ผมถูกถามอยู่บ่อยๆ ว่า รู้สึกอย่างไรบ้างในตอนนั้น และหลายคนก็เข้ามาขอบคุณผม แต่ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่เอาชนะมาได้ เราทุกคนมีชัยชนะเหมือนกัน ผมเป็นเพียงคนปิดเกมนั้นเท่านั้นเอง แต่ผมก็รู้ล่ะว่าความรู้สึกนี้จะคงอยู่เช่นนี้กับแฟนๆ ตลอดไป"
รอพบกับตอนที่ 3 ซึ่งเป็นตอนจบของการสัมภาษณ์โอเล่ ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเขาจะมาเปิดเผยว่าใครคือ ฮีโร่ของเขาในแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด