"ผมจะย้อนกลับไปในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ที่พบกับ ไบเยอร์ เลเวอร์คูเซ่น Bayer ในปี 2002 แค่อยากกลับไปในช่วงก่อนหมดเวลาสักหน่อย ในตอนนั้นที่บอลมาที่ผมและผมก็ยิงด้วยเท้าซ้ายแต่บอลก็ข้ามคานออกไป นั่นล่ะเป็นช่วงเวลาที่ผมต้องการจะกลับไปเปลี่ยนมัน ผมจะยิงให้ดีกว่านั้น เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ยังตามหลอกหลอนผมจนถึงตอนนี้"

และโซลชาร์ ก็เผยว่าจากนักเตะหลายต่อหลายรุ่นที่เขาเคยร่วมเล่นด้วย มีเพียงคนเดียวที่เป็นนักเตะที่ดีที่สุดที่เขาเคยเล่นด้วยในทีมแมนฯ ยูไนเต็ด
"เมื่อผมเข้ามาในสโมสร เอริค คันโตน่า คือคนที่ผมคอยมองหา เขาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ผมเคยร่วมเล่นด้วย"
แต่บทบาทของโอเล่ ไม่จบลงเพียงแค่นักเตะ เพราะเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เขาก็ได้ต่อสัญญาที่จะอยู่กับทีมไปอีก 2 ปี แต่เนื้อหาในสัญญาก็ระบุว่าเขาจะทำหน้าที่ทั้งนักเตะ ผู้ฝึกสอน และทูตสันถวไมตรีของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วย
"ผมมองว่าอาชีพหนึ่งของผมได้ดำเนินไปเรียบร้อยแล้วและตอนนี้ผมก็มีอาชีพใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก"
"หน้าที่รับผิดชอบในการฝึกสอนเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ผมได้รับบาดเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง และสิ่งที่ผมจะทำให้กับทีมได้ก็คือการเป็นโค้ช นั่นเป็นสิ่งที่แมนฯ ยูไนเต็ด แสดงให้เห็นถึงความเชื่อถือที่ทีมมีต่อผม และผมเองก็ต้องการแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความซื่อสัตย์ของผมเช่นกัน เพราะถ้าผมไม่ฟิตสมบูรณ์ ผมจะทำอย่างอื่นให้กับทีม แต่ถ้าผมฟิตผมก็จะลงเล่นให้กับทีม"
"ผมเป็นที่ยอมรับความจริง เพราะตลอด 3 ปีมานี้ ผมเจ็บมากกว่า 80% ดังนั้นผมจึงรู้ดีว่ามันคงยากที่จะยังคงเล่นได้ในระดับสูง ผมรู้ว่าผมอาจเล่นได้ดีบางเกมและเล่นได้ไม่ค่อยดีบางเกม ถ้าผมสามารถเล่นในทุกนาทีได้ดี ไม่ว่าจะผมจะได้ลงเป็นตัวจริงหรือตัวสำรองก็ตาม ผมก็อยากมีส่วนร่วมในการช่วยทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพกลับคืนมา"
"ผมคิดว่าทุกคนรู้ดีว่าการที่จะเอาชนะเชลซี มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่อยู่ลึกๆ ในใจทุกคนคือเราจะนอนลงเฉยๆ แล้วบอกว่าเราไม่มีโอกาส ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่าแมนฯ ยูไนเต็ด สามารถกลับมาได้เสมอ เหมือนกับผม และนักเตะทุกคนก็กระหายชัยชนะในขณะนี้"