ก่อนที่จะถึงทัวร์ 2015 ที่นำเสนอโดยเอออน เราจะมาย้อนอดีตถึงเรื่องราวสุดสำคัญ และลืมไม่ลงจากประวัติศาสตร์ของทีมปีศาจแดง เราเชื่อว่าเรื่องราวจากหน้าประวัติศาสตร์อันแสนเกรียงไกรนี้เป็นเรื่องที่สุดยอดไม่แพ้ใคร ในตอนที่ 9 ของซีรี่ส์นี้ เราจะพาย้อนไปยังฤดูกาล 1998/99 อันน่าเหลือเชื่อ มันเป็นปีที่เราได้ทริปเปิ้ลแชมป์นั่นเอง...
มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ในวงการกีฬา, ในชีวิต หรือแม้แต่ในที่ใดๆ ก็ตาม มันไม่มีจุดสูงสุดกว่านี้ให้ปีนขึ้นไปอีกแล้ว สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฤดูกาล 3 แชมป์ 1998/99 นั้นถือเป็นการสื่อถึงความสำเร็จสูงสุดตลอดกาลของสโมสร นี่คือสิ่งที่สร้างเอาไว้ให้ทุกคนพยายามทำให้ได้แบบนี้
สำหรับความสำเร็จทั้งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, พรีเมียร์ ลีก และเอฟเอ คัพนั้น ช่วงเวลาแห่งเกียรติยศได้เกิดขึ้นภายในระยะเวลา 11 วัน ทุกถ้วยแชมป์เป็นรายการใหญ่ นั่นทำให้มันเป็นฤดูกาลที่ลืมไม่ลง และมันก็จะถูกพูดถึงอยู่เสมอ ตราบใดก็ตามที่วงการฟุตบอลยังไม่ล่มสลาย
ในช่วงต้นฤดูกาล มันไม่ได้มีสัญญาณเตือนใดๆ ที่บ่งบอกว่านี่จะเป็นฤดูกาลที่ยิ่งใหญ่ ย้อนไปปีก่อนหน้านั้นเป็นอาร์เซนอล ภายใต้การคุมทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ที่หยุดความหวังคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่ 3 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเอาไว้ได้ นั่นทำให้ทีมปีศาจแดงต้องทำอะไรบางอย่าง มีการทุ่มเงินมหาศาลเพื่อคว้าตัวกองหลัง ยาป สตัม และศูนย์หน้า ดไวท์ ยอร์ค เข้ามาเสริมแกร่งในทีมของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นอกจากนั้นก็ยังได้ เยสเปอร์ บลอมควิสต์ เข้ามาเป็นอะไหล่ทดแทนตำแหน่งของ ไรอัน กิ๊กส์ ซึ่งมีปัญหาบาดเจ็บรบกวนบ่อยครั้งเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาอีกด้วย
6 เดือนแรกยังไม่ค่อยมีอะไรให้น่าพูดถึงนักสำหรับฤดูกาล 1998/99 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเพิ่งจะผ่านรอบแบ่งกลุ่มอันสุดหินไปได้ ขณะเดียวกันก็ยังอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ ลีก อย่างไรก็ตาม เดือนมกราคม 1999 ด้วยชัยชนะอันสุดดราม่าในเอฟเอ คัพเหนือลิเวอร์พูล ซึ่งทีมปีศาจแดงมารัว 2 ประตูในช่วงท้ายเกมพลิกเอาชนะไป มันก็เริ่มบอกอะไรบางอย่างแล้วว่าฤดูกาลนี้อาจไม่ธรรมดา
"หลังคริสต์มาส ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง" แกรี่ เนวิลล์ กล่าว "แต่ฤดูกาลจริงๆ มันก็เพิ่งมาเริ่มต้นเอาในเกมที่เจอลิเวอร์พูลนั่นแหละ การพลิกกลับมาชนะพวกเขาในนาทีสุดท้ายแบบนั้นมันสุดยอดมาก มันเป็นเกมที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกๆ คนก็ดูมีความมุ่งมั่นเหลือเกิน"
นับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งทีมปีศาจแดงได้อีกแล้ว พวกเขาไม่แพ้ใครเลยนับตั้งแต่เดือนธันวาคมที่พ่ายคาบ้านต่อมิดเดิ้ลสโบรช์ ทีมไหนที่ดาหน้าเข้ามาก็ถูกจัดการหมด น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ถูกบุกไปถล่มถึงบ้านด้วยสกอร์มโหฬาร 8-1 ขณะที่ยักษ์ใหญ่จากอิตาลีอย่างอินเตอร์ มิลาน และยูเวนตุสก็ไม่สามารถต้านได้อยู่ อาร์เซนอลเองก็กำลังมีลุ้นทั้ง 2 ถ้วยใหญ่ภายในประเทศอยู่เช่นกัน จนกระทั่งพวกเขามาโดนทีเด็ดจากลูกโซโล่เดี่ยวของกิ๊กส์ในนัดรีเพลย์ เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ อันแสนคลาสสิค
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้จบลงง่ายๆ แค่นั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยังต้องมุ่งมั่นกับ 3 เกมสุดท้ายของฤดูกาลอยู่ มันจะเป็นการชี้ชัดไปเลยว่าจะได้หรือไม่ได้อะไรบ้าง ท็อตแน่มถูกเบียดเอาชนะไปได้แบบเฉียดฉิว ซึ่งนั่นเพียงพอแล้วสำหรับตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ ลีก ก่อนที่นิวคาสเซิลจะถูกปราบในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ นั่นทำให้ทีมปีศาจแดงคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 6 ปีหลัง
ยังมีอีกรายการรอให้เพิ่มเข้ามาในนัดสุดท้าย เป็นการเจอกับบาเยิร์น มิวนิคอีกครั้ง คราวนี้เกิดขึ้นในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 90 ของ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ด้วย ทีมปีศาจแดงเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำไปก่อนในนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่สนามคัมป์ นู ของบาร์เซโลน่า และก็ตามหลังอยู่ 0-1 จนกระทั่งเกมเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
มีการทดเวลาเพิ่ม 3 นาที แต่ลูกทีมของเฟอร์กูสันก็ต้องการเวลาจริงๆ เพียงแค่ 104 วินาทีเท่านั้นในการยิง 2 ประตูรวด เท็ดดี้ เชอริงแฮม ทำประตูตีเสมอ ก่อนที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ จะมาซัดประตูชัย ทำเอาบาเยิร์นถึงกับอ้าปากค้าง นั่นทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลับสู่จุดสูงสุดในวงการฟุตบอลยุโรปอีกครั้ง และมันก็เกิดขึ้นแบบสุดดราม่าที่สุดเท่าที่จะสามารถเขียนบทได้อีกด้วย
จ้าวแห่งอังกฤษและยุโรป ทีมปีศาจแดงสามารถทำทริปเปิ้ลแชมป์ได้เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ และก็ยังคงเป็นทีมเดียวที่ทำได้มาจนถึงทุกวันนี้